ทำไมมุสลิมต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์
และประวัติบางส่วนของพิธีฮัจญ์

ขอความสันติ ความเมตตาปราณีจงมีแด่พี่น้องทุกท่าน
การที่มุสลิมต้องไปประกอบพิธีฮัจญ์นั้น เพราะอยู่ในหลักปฏิบัติของอิสลาม
หลักปฏิบัติของอิสลาม
1.การกล่าวปฏิญาณตน
2.การละหมาด
3.การถือศีลอด
4.การจ่ายซะกาต
5.การประกอบพิธีฮัจญ์
การประกอบพิธีฮัจญ์ เป็นหลักการหนึ่งของรุก่นอิสลาม อัลลอฮฺทรงตรัสไว้ในคัมภีร์ อัลกุรอาน ซูเราะฮฺ อาลิอิมรอน อายะฮฺที่ 97
ความว่า : และสำหรับอัลลอฮฺ(มีบทบัญญัติ) เหนือบรรดามนุษย์ คือการทำฮัจญ์ ณ บัยตุลลอฮฺ สำหรับผู้ที่มีความสามารถเดินทางไปได้
หมายถึงว่า มุสลิมที่มีสุขภาพแข็งแรง สติปัญญาสมบูรณ์ มีทรัพย์สินเพียงพอในการใช้จ่ายโดยมิต้องเป็นหนี้สินและเดือดร้อนบุคคลที่ต้องรับผิดชอบ และเส้นทางที่จะเดินทางไปจะต้องปลอดภัย
ดังนั้น การนำที่ดินและทรัพย์สินไปจำนอง จำนำ หรือขาย เพื่อนำไปประกอบพีธีฮัจญ์ โดยกลับมาแล้วไม่มีที่ทำกิน หรือเป็นเหตุที่สร้างความเดือดร้อนให้แก่ลูกหลาน จึงเป็นการกระทำที่ผิดศาสนบัญญัติ เช่นเดียวกับคนที่มีความสามารถพร้อมแต่ไม่ยอมไปเพราะเสียดายทรัพย์สินจะพร่องไป
และถ้าหากไม่มีความสามารถด้านทรัพย์ และสุขภาพ ก็ไม่เป็นความผิดอย่างไร เพราะตกอยู่ในเหตุของการด้อยความสามารถ
การทำฮัจญ์เป็นอิบาดะห์หลักต่อ อัลลอฮฺ ซึ่งมีเป้าหมายในการขัดเกลาจิตใจให้สะอาดบริสุทธิ์ผู้ที่เดินทางไปประกอบพิธีฮัจญ์ต้องใช้ความอุตสาหะ เสียสละทั้งกำลังกาย ทรัพย์ กำลังสติปัญญาและมีความสามารถอดทนต่อความยากลำบาก และมีความสามารถที่จะไปได้ โดยไม่ต้องกู้หนี้ หยิบยืมทรัพย์ของบุคคลอื่น

สถานที่สำคัญที่ใช้ในการประกอบพิธีฮัจย์คือ
ทุ่งอารอฟะห์,ตำบลมุซดะลิฟะห์,ตำบลมีนา,และอัล-กะบะฮฺ (การตอวาฟรอบกะบะห์นี้ ไม่ได้กระทำพร้อมกันในเวลาเดียวกัน)
ลำดับขั้นตอนของพิธีฮัจญ์เรียงตามรุก่นและวาญิบฮัจญ์
1. เริ่มต้นด้วยการครองอิหฺรอม คือการตั้งเจตนาเข้าสู่พิธีฮัจญ์ ( รุก่น ) จากสถานที่ที่กำหนด (วาญิบ)
2. การวุกูฟที่ทุ่งอะรอฟะฮฺ เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์คล้อยของวันที่ 9 ซุลฮิจญะฮฺ จนกระทั้ง ดวงอาทิตย์ตก ( รุก่น )
3. การค้างแรมที่มุซดะลิฟะฮฺ เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ตกของคืนวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ จนกระทั้งเวลาซุบฮฺ ( วาญิบ )
4. การขว้างเสาหิน 7 ก้อนที่ญัมรอตุลอะเกาะบะฮฺ ที่มีนา เริ่มตั้งแต่ดวงอาทิตย์ขึ้นของวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ จนกระทั้งดวงอาทิตย์ตก ( วาญิบ )
5. การโกนศีรษะหรือการตัดผม เมื่อกระทำมาถึงตอนนี้แล้วเรียกว่า ตะฮัลลุลเอาวัล คือการเปลื้องชุดอิหฺรอมครั้งที่ 1 ( รุก่น )
6. การฏอวาฟบัยตุลลอฮฺ 7 รอบ ( รุก่น )
7. การเดินสะแอระหว่างภูเขาซอฟาและมัรวะฮฺ 7 เที่ยว ( รุก่น ) เมื่อฏอวาฟและสะแอแล้วเรียกว่า ตะฮัลลุลซานี คือการเปลื้องอิหฺรอมครั้งที่ 2
8. การค้างแรมที่มีนา ในค่ำคืนของวันตัชรีก ( วาญิบ )
9. การขว้างเสาหินทั้ง 3 ต้น ในวันที่ 11 12 13 ซุลฮิจญะฮฺ ต้นละ 7 ก้อน ( วาญิบ )
10. การฏอวาฟวิดาอฺ ( ฏอวาฟอำลา คือการเวียนรอบกะบะฮฺเป็นครั้งสุดท้ายก่อนออกจากดินแดนเมืองมักกะฮฺเพื่อจะเดินทางกลับ ) ( วาญิบ )
รุก่นและวาญิบของการประกอบพิธีฮัจญ์ มีความแตกต่างกัน คือ
ผู้ใดละทิ้งรุก่นหนึ่งรุก่นใดของการทำฮัจญ์ การทำฮัจญ์ของเขาใช้ไม่ได้ และจำเป็นจะต้องไปทำฮัจญ์ใหม่ในปีต่อไป ส่วนผู้ที่ละทิ้งวาญิบ ข้อหนึ่งข้อใด จำเป็นที่เขาจะต้องเสียดัม (เชือดสัตว์พลี)
ข้อห้ามสำหรับผู้ที่ครองอิหฺรอม
ห้ามสวมเสื้อผ้าที่มีรอยเย็บ กางเกง กางเกงชั้นใน ห้ามสวมหมวก ส่วนผ้าที่ไม่ได้เย็บเข้ารูปอนุญาตให้สวมได้แม้ว่าจะมีรอยเย็บ เช่น ผ้าโสร่ง ถ้าเราตัดออกเป็นผ้าผืนยาวๆ ก็ถือว่าใส่ได้ แม้ว่าจะมีรอยเย็บ(สำหรับผู้ชาย)
ห้ามใส่เครื่องหอมหรือน้ำหอมทุกชนิด
ห้ามตัดเล็บ ตัดผม โกนหนวด
ห้ามพูดจาหยาบคาย ไร้สาระ เกี้ยวพาราสี การนินทา และการทะเลาะวิวาท
ห้ามมีเพศสัมพันธ์ เล้าโลม กอดจูบ
ห้ามจัดพิธีนิกะฮฺ(แต่งงาน)หรือการหมั้น
ห้ามไล่ล่าสัตว์ในเขตแผ่นดินฮะราม(ห้าม)
ห้ามตัดหรือถอนต้นไม้ในเขตแผ่นดินฮะราม
การประกอบพิธีฮัจญ์มี 3 แบบ
1.ตะมัตตัวะอฺ คือผู้ครองอิหฺรอมตั้งเจตนาทำอุมเราะฮฺก่อนการทำฮัจญ์ ขณะที่เข้าสู่เทศการฮัจญ์แล้ว (ส่วนมากนิยมทำฮัจญ์แบบตะมัตตัวะอฺ คนไทยก็เช่นกัน)
2. อิฟร้อด คือผู้ครองอิหฺรอม หลังจากการทำการตอวาฟกุดูมแล้ว เขาจะต้องสวมชุดอิหฺรอมจนกระทั้งถึงวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ หลังจากนั้นจึงทำอุมเราะฮฺ
3. กิรอน คือผู้ครองอิหฺรอมตั้งเจตนาทำอุมเราะฮฺและการทำฮัจญ์พร้อมกัน
หลังจากการทำอุมเราะฮฺคือตอวาฟและสะแอแล้ว ไม่ต้องโกนศีรษะหรือตัดผม แต่ให้เขาครอง
อิหฺรอมกระทั้งถึงวันที่ 10 ซุลฮิจญะฮฺ
ตารางเวลาของการทำฮัจญ์ และเส้นทาง(route)ของการประกอบพิธีฮัจญ์
1. ผู้ทำฮัจญ์แบบตะมัตตัวะอฺ ครองอิหฺรอมเพื่อเจตนาทำฮัจญ์ ที่บ้านพักในมักกะฮฺเช้าวันที่ 8
2. ออกเดินทางจากมักกะฮฺมุ่งสู่มีนา และพักค้างแรมที่นั่น (วันตัรวียะฮฺ วันที่ 8 )
3. ออกเดินทางจากมีนามุ่งสู่อะระฟะฮฺเพื่อทำการวุกูฟ (ออกจากมีนา เช้าวันที่ 9 )
4. หยุดอยู่ที่อะรอฟะฮฺเพื่อทำการวุกูฟ ตั้งแต่เวลาบ่ายจนถึงเวลามัฆริบ (วันอะรอฟะฮฺที่ 9)
5. ออกจากอะรอฟะฮฺตั้งแต่เวลามัฆริบมุ่งสู่มุซดะลิฟะฮฺ และพักค้างแรมที่นั่น ( คืนวันที่10 )
6. ออกจากมุซดะลิฟะฮฺ มุ่งสู่มีนา เพื่อขว้างเสาหิน ญัมเราะตุ้ลอะกอบะฮฺ (เช้าวันที่10วันอีด)
7. พักแรมที่มีนา และขว้างเสาหินทั้ง 3 ต้น เป็นเวลา 3 วัน (วันตัชรีก วันที่ 11 - 12 - 13 )
8. ออกเดินทางจากมีนา มุ่งสู่เมืองมักกะฮฺ (ก่อนดวงอาทิตย์ตก)
ในประวัติศาสตร์ของอิสลาม
นางฮาญัรต้องวิ่งไปมาอยู่
7 เที่ยว ระหว่างเนินเขาเศาะฟาและมัรวะฮฺ เพื่อหาน้ำให้ลูกของนาง(นบีอิสมาอีล)
กุรอาน 2:158
และนี่ได้กลายมาเป็นพิธีกรรมอย่างหนึ่งสำหรับการทำฮัจย์ในนครมักกะฮฺ และอุมเราะฮฺ
มีใน กุรอาน 2:158 และบ่อน้ำดังกล่าว ถูกเรียกว่า "ซัมซัม"
ต่อมาทั้งอิบรอฮีมและอิสมาอีล ได้ร่วมกันสร้างอาคารกะบะฮฺขึ้น จุดที่ นีบอิบรอมฮีมได้เคยยืนสักการะวิงวอนต่อพระเจ้า ก็ยังคงปรากฏอยู่เรียกว่า " มะกอมอิบรอมฮีม "
แผนผัง มัสยิดอัล-ฮารอม


ปัจจุบัน ในขั้นตอนพิธีฮัจญ์ ผู้แสวงบุญจะเดินจากเนินเขาศอฟา สู่เนินเขามัรวะห์ ซึ่งมีระยะทาง ประมาณ 450 เมตร ไปมาจนครบ 7 เที่ยวเรียกว่าการเดิน "สะแอ" การเดินสะแอนี้เป็นการระรึกถึงเหตุการณ์ในขณะนั้น
สีเหลืองคือ ทางเดินสะแอ ระหว่างเนินเขาศอฟา - มัรวะห์
1. มุมหินดำ
2. มะกอมอิบรอฮีม (ที่ ยืนท่านนบีอิบรอฮีม <รอยเท้า>)
3. ฮิจญ์รฺ อิสมาอีล (ห้องของท่านนบีอิสมาอีล)
4. บ่อน้ำซัมซัม
5. เส้นทางเดินเวียนรอบ (ฏอวาฟ)
กะบะฮฺ
สถานที่ที่ทำให้จิตใจสงบนิ่ง
สถานที่ที่ได้เห็นได้สัมผัสความยิ่งใหญ่ของอัลลอฮฺ
สถานที่ที่ได้เรียนรู้และใช้ความอดทนมากมาย
สถานที่ที่น้ำตาไหลที่ได้เห็นกะบะฮฺครั้งแรก และเป็นสถานที่ที่น้ำตาไหลเพราะต้องจากลา
สถานที่ที่ทำให้ได้มิตรข้ามชาติ คนละภาษา แต่ศาสนาเรา ศาสนาเดียวกัน
สถานที่ที่ทำให้จิตใจอ่อนโยน จากการได้อยู่ร่วมกันกับมุสลิมะฮฺ เราพูดคุยกัน ช่วยเหลือกันแบ่งปันกัน ทักทายกัน ยิ้มให้กัน และเขากอดเมื่อเขาขอบคุณเรา
สถานที่ที่กอดกับมุสลิมะฮฺข้ามชาติ3 แม่ลูก ในวันที่เธอบอกว่า จะกลับบ้านเมืองของเธอ ณ มัสยิดฮะรอม หลังจากไม่พบเจอมา1 สัปดาห์ จนขอดุอาให้ได้พบเขาเหล่านั้นก่อนกลับบ้าน
สถานที่ที่ทำให้ศรัทธามั่น เพิ่มสูงขึ้น และไม่มีวันลดลง
เป็นสถานที่ที่มุสตะยับดุอา ขอไว้ ขอให้ข้าพระองค์ บ่าวผู้นี้ ได้ทำงานศาสนา เพื่ออัลลอฮฺตะอาลา
www.annisaa.com/forum/index.php?topic=125.0